ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยและคนทั่วโลกต้องเผชิญกับพิษเศรษฐกิจและความกดดันจากการทำงานที่ต้องแข่งขันกับเวลา และต้องปรับตัวสูงในยุคที่กำลังเปลี่ยนมือจาก “แรงงานคน” เป็น “แรงงานเครื่องจักรสมองกล AI” ในอนาคตอันใกล้ ทำให้ตัวเลขผู้มีปัญหาสุขภาพจิตจากความเครียดเพิ่มสูงขึ้นมาก
1. ลุกขึ้น ยืนแกว่งแขนทุกชั่วโมง นอกจากจะช่วยขยับตัว ลดอาการเมื่อยล้าและลดความเสี่ยงโรคออฟฟิศซินโดรมได้แล้ว การแกว่งแขนยังช่วยให้คุณได้กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เสริมภูมิคุ้มกันร่างกายได้ เนื่องจากต่อมน้ำเหลืองที่มีอยู่มากใต้ช่วงแขนท่อนบน ถูกกระตุ้นได้ด้วยการแกว่งแขนครั้งละ 5 นาที
2. คุยกับคนที่มีทัศนคติดี ๆ หรืออ่านหนังสือที่ช่วยผ่อนคลาย ด้วยแนวคิดดี ๆ ที่ชี้ให้เห็นทางออกของปัญหา ดีกว่าคุยกับเพื่อน ๆ “ขี้เมาท์” ที่มองโลกแง่ลบ หรือชวนให้คิดแต่ว่า “ทุกทางออกมีปัญหา” เพราะคุณจะได้แต่ความสนุกปากชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ไม่ช่วยแก้ความเครียดได้จริง ซ้ำยังอาจเกิดปัญหาจากการพูดต่อ ๆ ในแง่ลบจากเรื่องที่เม้าท์กันด้วย
3. กอดกันให้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีคู่ถึงจะกอดได้ Hug therapist หรือผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ทางการกอด ได้แนะนำไว้ให้เรากอดกันวันละ 4 รอบ จะช่วยแก้ความเครียด ความเศร้าซึมได้ และหากเป็นเด็กเล็ก ๆ – วัยรุ่น การกอดจะช่วยให้มั่นใจในตัวเองและมีความมั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ แม้จะทำงานหนักแค่ไหนในปี 2018 ก็ไม่ควรละทิ้งการใส่ใจและกอดลูกด้วย เพราะความเครียดจากงานมีวันผ่านไป แต่หากลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี เนื่องจากการเลี้ยงดูที่ขาดความอบอุ่นใจ จะทำให้คุณต้องเผชิญกับเรื่องใหญ่ให้แก้ปัญหาอีกมากจากลูกได้
4. ปล่อยวาง ให้บางอย่างเป็นเรื่องของเวลาบ้าง แค่พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จุดไหนที่ผิดพลาดก็เก็บมาเป็น “ครู” เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาแบบเดิม หรือเกิดสถานการณ์เดิม ๆ อีก เพียงเท่านี้เท่ากับคุณได้ทำงานได้เต็มที่และเหมาะสมแล้ว การคิดล่วงหน้าเพื่อวางแผนเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรกังวลล่วงหน้ามากไปเสียหมดทุกอย่าง หรือคิดแต่ว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ เพราะคุณจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมจะ “BOOM” ทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง และส่งผลต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หรือเจ้านายได้