การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างก้าวกระโดด

นวัตกรรมใหม่ เทคโนโลยีรักษา

มนุษย์ต้องการดำรงชีพอยู่ในสังคมต่อไปเรื่อยๆ ทำให้มนุษย์คิดค้นวิธีการที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างยืนยาวที่สุด ทำให้ทางการแพทย์จำเป็นต้องคิดค้นเทคโนโลยีขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือ และสำหรับเทคโนโลยีที่ได้ก้าวหน้าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีดังนี้

1.สเต็มเซลล์ เป็นเซลล์ชนิดหนึ่งในร่างกายมนุษย์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ได้แทบทุกชนิด สเต็มเซลล์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายโดยเฉพาะโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ในประเทศไทยได้มีการสนับสนุนการวิจัยสเต็มเซลล์มา 6-7 ปีแล้ว และประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ได้หลายชนิด รวมทั้งเริ่มมีการนำมาใช้รักษาจริง

2.interferon beta เป็นสารอย่างหนึ่งที่พบได้ในร่างกายเราเอง มีฤทธิ์ยับยั้งการโจมตีปลอกหุ้มเส้นประสาทของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ชะลอการดำเนินของโรคได้อย่างมาก

3.วัคซีนสำหรับอัลไซเมอร์ นักวิทยาศาสตร์จากประเทศแคนาดาได้พัฒนาวัคซีนที่มีฤทธิ์ในการป้องกันและรักษาการสูญเสียความทรงจำ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้านสารก่อโรค ผู้ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์บางส่วนมีการตอบสนองต่อวัคซีนมีความจำที่ดีขึ้น

4.ยาต้านมะเร็งอัจฉริยะ นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบยามะเร็งตระกูลใหม่ที่ออกฤทธิ์อย่างจำเพาะเจาะจงเปรียบเหมือนกับจรวดนำวิถีที่ล็อคเป้าหมายให้ทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็งเท่านั้น ยาเหล่านี้ได้แก่ Imatinib และ gefitinib ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการทดลองทางคลินิก

5.หัวใจเทียมเสมือนจริง หัวใจเทียมนี้ คือ AbioCor โดยบริษัท Abiomed ออกแบบและวิจัยพัฒนามากว่า 30 ปี AbioCor เป็นหัวใจเทียมที่ผลิตจากไททาเนียมและพลาสติกชนิดพิเศษ ได้รับการออกแบบให้ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังปอดและส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้เหมือนกับหัวใจจริง

6.ยาเพิ่ม HDL เป็นโคเลสเตอรอลชนิดดีที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ ในผู้ที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูงจะพบว่ามีโคเลสเตอรอลชนิดร้าย คือ แอลดีแอล มหาวิทยาลัยทัฟทส์ได้ค้นพบยาใหม่ที่เป็นความหวังสำหรับผู้ป่วยเหล่านี้ ยานี้คือ torcetrapib ที่สามารถกระตุ้นให้ระดับเอชดีแอลเพิ่มขึ้นได้ถึงสองเท่า และยังช่วยลดระดับแอลดีแอลได้ด้วย

ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นเป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ยังมีงานวิจัยอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อการแพทย์ ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ และอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งต้องอาศัยเงินจำนวนมาก

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : ไทยรัฐ

Facebook
Twitter
LinkedIn
Telegram
Pinterest
5/5