กินเค็มมาก…โรคมาเยือน

กินเค็มมากไป โรคมาเยือน

พฤติกรรมการกินของคนไทยในปัจจุบันพบว่าเรากินเค็มมากเกินไป สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการไม่รู้ว่า ในอาหารมีปริมาณเกลือ หรือโซเดียมมากน้อยแค่ไหน จนทำให้หลาย ๆ คนพบเจอกับโรคดังต่อไปนี้

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

การได้รับโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินความต้องการ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจร้อยละ 49 โรคอัมพฤกษ์ อัมพาตร้อยละ 62 ของการเกิดโรคทั้งหมด

การลดปริมาณโซเดียมในผู้ใหญ่ให้ได้รับโซเดียมน้อยกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน มีผลต่อการลดระดับความดันโลหิต และโอกาสต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

2. โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต

โซเดียมจะเข้าสู่ร่างกายและปะปนในเลือดทำให้เลือดเสียสมดุล หลอดเลือดจึงพยายามดูดน้ำเข้ามาเจือจางโซเดียม จนทำให้แรงดันเลือดสูงขึ้น เมื่อความดันโลหิตสูงก็จะส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ เป็นลำดับ เช่น ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เต้นเร็วขึ้น และเสี่ยงที่จะหัวใจวายไปจนถึงเส้นเลือดในสมองแตก กลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้เลยทีเดียว

3. โรคความดันโลหิตสูง

การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการบริโภคเกลือโซเดียมกับการเกิดโรคความดันโลหิตสูงเริ่มต้นโดย Louis Daht และคณะ ในปีพ.ศ. 2503 พบว่าการได้รับเกลือโซเดียมมีความสัมพันธ์กับความชุกของโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งจะนํำไปสู่โรคอื่น ๆ ที่เป็นภาวะแทรกซ้อน

4. โรคเบาหวาน

การศึกษาพบว่าในผู้ป่วยโรคเบาหวานซึ่ง มีความบกพร่องของการทํางานของอินซูลินนั้น การลดปริมาณการกินโซเดียมลงมีผลต่อการเพิ่มระดับการทํางานของอินซูลินดีขึ้น ส่งผลให้ควบคุมโรคเบาหวานได้ดียิ่งขึ้น

5. ยิ่งกินเค็มยิ่งอ้วน

จากการศึกษาพบว่ารสชาติของอาหาร เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้คนกินอาหารมากขึ้น โดยรสเค็มเป็นรสที่ส่งผลต่อการกินมากที่สุด รสชาติเค็มจะเร่งการผลิตโดปามีนซึ่งเป็นสารเคมีในสมองส่งผลต่ออารมณ์ความพึงพอใจ ความสุข ทําให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร เมื่อติดรสเค็มแล้วหากไม่ได้กินเค็มก็จะรู้สึกว่าอาหารไม่อร่อย รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์เสีย

นอกจากนี้ผู้ที่ติดรสเค็มเพียงแค่นึกถึงอาหารที่มีรสเค็มก็จะเกิดความรู้สึกหิว และอยากอาหารขึ้นมา จึงเป็นสาเหตุให้ผู้ชอบกินเค็มเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนได้ง่าย

6. โรคไตวายเรื้อรัง

การที่ร่างกายได้รับโซเดียมในปริมาณที่สูง ทําให้มีผลกระทบโดยตรงต่อไตซึ่งเป็นอวัยวะหลักที่ทําหน้าที่กําจัดโซเดียม ทําให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นจากการทํางานหนัก และความเสื่อมนั้นจะคงอยู่ตลอดไปแม้จะมีการลดปริมาณโซเดียมลงในภายหลัง

Facebook
Twitter
LinkedIn
Telegram
Pinterest
5/5