“ไฟโบสแกน” เทคโนโลยีด้านสุขภาพแบบใหม่ ที่ใช้ในการตรวจโรคเกี่ยวกับตับ !

ไฟโบรสแกน เป็น เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ แบบใหม่ที่ใช้ในการตรวจโรคเกี่ยวกับตับ โดยจะใช้เพื่อตรวจหาไขมันที่สะสมอยู่ในตับและภาวะพังผืดในเนื้อตับโดยเฉพาะ ไฟโบรสแกน (Fibro Scan) ศัพท์ใหม่ทางการแพทย์ที่หลายคนอาจไม่รู้จักและไม่คุ้นเคย ทำให้เกิดความสงสัยว่ามันคืออะไรและมีความสำคัญกับการรักษาทางการแพทย์อย่างไร ดังนั้นเราจะมาทำความรู้จักกับไฟโบรสแกน ด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้

ไฟโบรสแกน คืออะไร ?

ไฟโบรสแกน เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ในการตรวจโรคเกี่ยวกับตับโดยจะใช้เพื่อตรวจหาไขมันที่สะสมอยู่ในตับและภาวะพังผืดในเนื้อตับโดยเฉพาะ ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บหรือเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนเหมือนกับการตรวจแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้วิธีการเจาะตับ นอกจากนี้ก็สามารถตรวจก่อนป่วยได้อีกด้วย เพราะยิ่งตรวจก่อน รู้ก่อนก็จะยิ่งทำให้รักษาได้ทันและมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น

หลักการทำงานของไฟโบรสแกน

การทำงานของไฟโบรสแกนจะใช้เทคนิค VCTETM ในการตรวจพังผืดในตับ โดยปล่อยคลื่นความถี่ต่ำที่ 50 เฮิรตซ์ออกมาซึ่งคลื่นตัวนี้จะถูกส่งเข้าไปในตับและสะท้อนกลับมาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงต่ำจากนั้นตัวเครื่องไฟโบรสแกนจะทำการอ่านค่าและประมวลผลออกมาว่ามีพังผืดในเนื้อตับหรือไม่และมีมากน้อยเพียงใดส่วนการตรวจหาไขมันในตับ จะใช้เทคนิค CAP โดยการปล่อยคลื่นเสียงความถี่ต่ำเข้าไปในเนื้อตับเช่นเดียวกับการตรวจพังผืดแต่จะวัดค่าไขมันจากความต้านทานแทน ซึ่งหากมีไขมันสะสมอยู่ในเนื้อตับเป็นจำนวนมากก็จะพบว่ามีแรงต้านทานสูงนั่นเอง

การตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกนเจ็บหรือไม่ ?

สำหรับการตรวจรักษาด้วยเครื่องไฟโบรสแกนไม่มีอาการเจ็บปวดหรืออันตรายใดๆ ทั้งสิ้น โดยจะใช้เวลาเพียงแค่ 5-10 นาทีเท่านั้น แต่ในขณะตรวจอาจจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับปลายหัวตรวจเล็กน้อย เพราะฉะนั้นสำหรับใครที่ต้องตรวจเช็คสุขภาพตับด้วยเครื่องไฟโบรสแกนก็หมดกังวลไปได้เลย แถมยังสามารถตรวจซ้ำได้หลายครั้งโดยไม่เป็นอันตรายอีกด้วย

ขั้นตอนการตรวจไฟโบรสแกน ?‍⚕️???

สำหรับขั้นตอนในการตรวจสุขภาพด้วยเทคโนโลยีไฟโบรสแกนมีขั้นตอนที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากดังนี้

  1. ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องนอนหงายลงบนเตียงที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ โดยให้ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไว้เหนือศีรษะของตนเอง
  2. แพทย์จะทาเจลที่หัวตรวจหรือผิวหนังของผู้เข้ารับการตรวจเล็กน้อย ซึ่งเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ผลในการตรวจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. ใช้เครื่องมือตรวจไฟโบรสแกนตรวจวัดที่บริเวณกลางเนื้อตับ ประมาณ 10 ครั้งในจุดเดียวกัน
  4. รอผลที่ได้ โดยแพทย์จะแปลข้อมูลจากผลให้ผู้รับการตรวจทราบ พร้อมให้คำแนะนำ ซึ่งหากพบว่ามีภาวะพังผืดและไขมันในตับสูง ก็จะส่งตัวเข้าสู่กระบวนการรักษาต่อไป

❎ ข้อห้ามในการตรวจไฟโบรสแกน ❎

แม้ว่าไฟโบรสแกนจะเป็นเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีความทันสมัยและสามารถตรวจซ้ำหลายครั้งได้โดยไม่เป็นอันตราย แต่ก็มีข้อห้ามในการใช้งานอยู่บ้างเหมือนกันเพราะในบางกรณีก็อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่เข้ารับการตรวจได้นั่นเองโดยมีข้อห้ามดังนี้

  • ห้ามใช้ตรวจอวัยวะอื่นๆ

ไฟโบรสแกนถูกออกแบบมาให้ใช้กับการตรวจความผิดปกติของตับเท่านั้นจึงไม่ควรใช้กับการตรวจอวัยวะอื่นๆ เพราะอาจจะทำให้เกิดผลกระทบจนเป็นอันตรายได้

ห้ามใช้กับผู้ที่มีภาวะท้องมาน

ในขณะที่มีภาวะท้องมาน ไม่ควรตรวจด้วยไฟโบรสแกน เพราะคลื่นความถี่จากตัวเครื่องอาจจะไปกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรงได้ซึ่งหากต้องการตรวจเช็คความผิดปกติของตับ ควรทำการรักษาท้องมานให้หายดีก่อน

  • ห้ามใช้กับหญิงตั้งครรภ์

เพราะคลื่นความถี่จากไฟโบรสแกนมีผลต่อการพัฒนาการและการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์จึงไม่ควรใช้กับหญิงตั้งครรภ์เด็ดขาดและไม่ควรให้หญิงตั้งครรภ์อยู่ใกล้กับตัวเครื่องในขณะเปิดใช้งานด้วย

  • ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่ติดอุปกรณ์ในร่างกาย

ในผู้ป่วยที่ต้องติดอุปกรณ์ในร่างกาย ไม่ควรใช้ไฟโบรสแกนเพราะคลื่นความถี่จะไปทำลายตัวอุปกรณ์ทำให้เกิดความเสียหายหรือเกิดผลข้างเคียง

??  อาการแบบไหนที่ควรพบแพทย์ เพื่อตรวจความผิดปกติของตับ ?? 

จะรู้ได้อย่างไร ว่ากำลังป่วยด้วยโรคตับซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจโดยด่วน แนะนำให้สังเกตจากอาการและปัจจัยดังต่อไปนี้

  • มีอาการตาเหลืองและตัวซีดเหลืองผิดปกติ เพราะนั่นอาจหมายถึงการทำงานของตับที่ผิดปกติไปจึงไม่สามารถขจัดสารที่ทำให้ตัวเหลืองได้นั่นเอง
  • อ่อนเพลีย แม้จะนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอและมักจะมีอาการอาหารไม่ย่อยบ่อยๆ เนื่องจากตับไม่สามารถหลั่งเอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยอาหารออกมาได้
  • มีประวัติคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคมะเร็งตับเพราะมีโอกาสที่บุคคลอื่นๆจะป่วยด้วยโรคนี้ได้สูง
  • เป็นผู้ที่เคยดื่มสุราเรื้อรังหรือในปัจจุบันก็ยังดื่มอยู่ เพราะพิษสุราจะทำลายตับโดยตรง

ไฟโบรสแกน ?‍⚕️???

เป็นเครื่องมือในการตรวจความผิดปกติของตับที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและสามารถทราบผลได้อย่างรวดเร็ว แถมไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออาการแทรกซ้อนใดๆอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการนำมาใช้ในทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย แทนวิธีแบบดั้งเดิมที่มีความเสี่ยงมากกว่า และให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าเป็นสองเท่า ดังนั้นหากใครมีอาการผิดปกติหรือมีปัจจัยที่อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับสามารถเข้ารับการตรวจด้วยเครื่องไฟโบรสแกนำ พร้อมทำการรักษาได้ทันที


ขอขอบคุณรูปภาพจาก : HonestDocs

Facebook
Twitter
LinkedIn
Telegram
Pinterest
5/5